บทที่ 2 ทำเลที่ตั้งร้านค้าปลีกและค้าส่ง

บทที่ 2

ทำเลที่ตั้งร้านค้าปลีกมีความสำคัญมากกว่าร้านค้าส่ง จึงจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมแลถูกต้องจึงจะประสบความสำเร็จ

1) ทำเลที่ตั้ง   พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้
1. ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง
2. เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก
3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับการเลือกทำเลที่ตั้ง

1.  ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง    ให้พิจารณาจากจำนวนประชากรในเขต การค้า  รายได้ของประชากร พฤติกรรมการซื้อของประชากร ความเจริญของเขตการค้าหรือ ตัวเมือง ลักษณะและความเข้มข้นของการแข่งขัน สิ่งอำนวยความสะดวกในเขตการค้า
2.  เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก   ให้พิจารณาจาก แนวคิดของธุรกิจ  ความสัมพันธ์ ระหว่างชนิดของสินค้าและพฤติกรรมในการซื้อ  ความสัมพันธ์กับร้านค้าอื่นและคู่แข่งขัน การสัญจรไปมาของลูกค้า  การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือเช่า  การประเมินการขาย เมื่อเปรียบเทียบกับการเช่า
3. ปัจจัยที่เกี่ยวกับการเลือกทำเลที่ตั้ง  พิจารณาได้ 3 ปัจจัยดังนี้
3.ปัจจัยทั่ว ๆ สำหรับทำเลที่ตั้ง (General Location Factors )   นำสิ่งต่อไปนี้มาประกอบ การตัดสินใจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ  แหล่งแรงงาน แหล่งผู้บริโภคหรือตลาด คู่แข่ง ราคาที่ดิน ภาษี เส้นทางคมนาคม แหล่งสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม  (สภาพชุมชน สภาพ  ภูมิอากาศ )
3.2   ปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง ( Specific Site Factors )   นำสิ่งต่อไปนี้มาประกอ   การ    ตัดสินใจ เช่น ทางเข้า-ทางออก  ที่จอดรถ  การสิเคราะห์เส้นทางจราจร  จำนวน  พาหนะในเส้นทางจราจร  แนวโน้มของประชากรและกิจกรรมของธุรกิจ  ค่าใช้จ่า    ในการซื้อหรือเช่าและค่าโฆษณา  สถานที่หรือธุรกิจสำคัญที่อยู่ใกล้  ประวัติความเป็น  มาของตำแหน่งที่ตั้ง
3.3 ปัจจัยเกี่ยวกับแหล่งสนับสนุนในการเลือกทำเลที่ตั้ง  ( Special Assistance Factors )ให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ประกอบการตัดสินใจ  เช่น ธนาคาร  สมาคมการค้า   หอการค้าหน่วยงานรัฐบาล เป็นต้น

2)  หลักการจัดซื้อ
การค้าปลีกและการค้าส่งจำเป็นต้องรู้นโยบายในการจัดซื้อและวิธีการสั่งซื้อ  อย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้เงินทุนไปจมอยู่กับสินค้ามากเกินควร
นโยบายการจัดซื้อ  เพื่อให้ได้สินค้าที่ถูกต้อง ในราคาที่เหมาะสม หัวใจในการจัดซื้อที่ดีประกอบด้วย  6  R   คือ
1. Right  Quality  (คุณภาพที่ดี)
2. Right  Quantity  (ปริมาณที่เหมาะสม)
3. Right  Time (ช่วงเวลาที่เหมาะสม)
4. Right  Price (ราคาที่สมเหตุสมผล)
5. Right  Source (แหล่งซื้อที่ถูกต้อง)
6.  Right  Place  (จัดนำส่งไปยังสถานที่ที่ต้องการ)

วิธีการสั่งซื้อ  เมื่อการเจรจาต่อรองตกลงกันได้ในเงื่อนไขที่ทั้งสองฝ่ายพอใจ ผู้ซื้อจะต้อง จัดทำ ใบสั่งซื้อ”   ผู้ผลิตอาจมีแบบฟอร์มใบสั่งซื้อไว้ให้ลูกค้ากรอก หรือร้านค้า ปลีกอาจมีแบบฟอร์มเป็นของตัวเองก็ได้  ใบสั่งซื้อนี้ถือว่าเป็นสัญญาตามกฎหมายระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ข้อมูลทุกอย่างต้องถูกต้องและตรงกับที่ได้ตกลงไว้ ใบสั่งซื้อจะต้องลงนามโดยเจ้าของหรือผู้จัดการผู้มีอำนาจเต็มของผู้ซื้อ ควรมีสำเนาหลาย ๆ ชุด เพื่อใช้ในการตรวจรับสินค้า ติดราคา การเก็บสต็อก และระบบ  บัญชี   เมื่อผู้ผลิตได้รับใบสั่งซื้อและได้จัดส่งสินค้าไปให้แก่ผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว    จะจัดส่ง ใบรับของและ ใบเก็บเงิน”  ไปให้แก่ผู้ซื้อ   ในบางกรณีจะจัดส่งไปพร้อมกับสินค้า และให้ผู้ซื้อลงนามรับของในทันทีที่ตรวจรับสินค้าเรียบร้อยแล้ว

การจัดซื้อในธุรกิจค้าส่ง      ใช้หลักสำคัญในการจัดซื้อ ประกอบด้วย
1. การวางแผนงานจัดซื้อ  โดยการกำหนดอำนาจหน้าที่ในการจัดซื้อ  การคัด เลือกผู้ขาย
2. การจัดการดำเนินงานด้านการจัดซื้อ  วิธีการปฏิบัติต้องกำหนดไว้แน่นอนเข้าใจง่าย เพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อนและเกิดความขัดแย้ง
3. การกำหนดขั้นตอนการจัดซื้อ  กำหนดประเภทสินค้า  ยี่ห้อ  ขนาด คุณภาพ และเวลาที่ต้องการ   รายละเอียดของสินค้า  ออกเอกสารการสั่งซื้อ  การเจรจา กับผู้ขาย การเลือกผู้ขายและสั่งซื้อ  การตรวจใบกำกับสินค้าและใบเสร็จรับเงิน การรับและการตรวจสินค้าที่ซื้อ  การรวบรวมและเก็บเอกสารที่ดำเนินการแล้ว

3)  การควบคุมสินค้าคงคลัง
การมีสินค้าคงไว้ในกิจการ ณ ระดับหนึ่งที่เหมาะสม ต้องทำการควบคุมเพื่อไม่ให้เงินทุนไปจมอยู่กับสินค้ามากกว่าที่ควร และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าด้วย ให้พิจารณาสิ่งต่อไปนี้

1. ปัจจัยสำคัญที่กำหนดขนาดของสินค้าคงคลัง   ให้นำหัวข้อต่อไปนี้มาประกอบการพิจารณา
1.1 ร้านค้าปลีกสามารถซื้อสินค้าจากผู้ขายสินค้าได้เร็วเพียงใด
1.2 ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
1.3 ประสิทธิภาพของฝ่ายจัดซื้อ
1.4 การคาดคะเนการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา
1.5 ค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินทุนมาเพื่อซื้อสินค้า
1.6 การกำหนดขนาดของสินค้าที่ควรจะซื้อแต่ละครั้ง

2. วิธีการควบคุมสินค้าคงคลัง    มีวัตถุประสงค์ที่จะลดค่าใช้จ่ายรวมในการจัดซื้อ  กระทำได้ 2 แบบคือ
2.1 การควบคุมสินค้าคงเหลือทางด้านมูลค่า   ผู้ค้าปลีกจะต้องประมาณการวงเงินลงทุนก่อนที่จะตัด สินใจเลือกชนิดและปริมาณของสินค้า
2.2 การควบคุมสินค้าคงเหลือทางด้านปริมาณ  เน้นจำนวนหน่วยของสินค้าคงเหลือแต่ละประเภทที    มีอยู่ในช่วงเวลานั้น ๆ

3. ระบบตรวจสอบปริมาณของสินค้าคงคลัง    อาจใช้ระบบตรวจสอบดังนี้
3.1 ระบบตรวจสอบที่เป็นปัจจุบัน    ไม่ใช่การนับสินค้าจริง ๆ เป็นการบันทึกในทะเบียนสินค้าคง คลังเมื่อมีการซื้อขาย  ดังนั้นจำนวนสินค้าคงคลังอาจเกิดจากความผิดพลาดในการลงบัญชีและ ความสูญหายของสินค้าคงคลัง
3.2 ระบบตรวจสอบเป็นครั้งคราว  เป็นการนับจำนวนของสินค้าในเวลาขณะใดขณะหนึ่ง  ส่วนมาก มักทำการตรวจสอบปีละครั้งเมื่อสิ้นสุดทางการบัญชี

4. การนับจำนวนสินค้าคงคลังใช้ 4 วิธี ดังนี้
4.1 การบันทึกโดยพนักงาน  ทำเป็นบัตรสินค้า  สินค้าแต่ละรายการจะมีบัตรหนึ่งใบสำหรับการบันทึกปริมาณ
4.2 การใช้เครื่องเก็บเงินแบบธรรมดา (Cash  Register ) สามารถบันทึกว่าสินค้าที่ขายนั้นมาจาก แผนกใดหรือเป็นสินค้าชนิดใด
4.3 การใช้เครื่องเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic cash register )   เหมาะสำหรับร้านค้าปลี  ขนาดใหญ่ เรียกกันทั่วไปว่าเครื่องบันทึก ณ จุดขาย   เป็นการบันทึกข้อมูลการขายลงบนเทป เพื่อนำไปป้อนเครื่องคอมพิวเตอร์ในภายหลัง
4.4 การใช้พนักงานนับ   ร้านค้าปลีกจะใช้พนักงานนับสินค้าทุกอย่างแต่ละชิ้นเป็นครั้งคราว  เพื่อหาว่าปริมาณสินค้าคงคลังที่แท้จริงมีอยู่เท่าไร ซึ่งอาจแตกต่างจากปริมาณสินค้าคงคลังทีปรากฏในบัญชี  ร้านค้าปลีกจำต้องปิดร้านระหว่างตรวจนับปริมาณสินค้าคงคลังหรืออาจ ตรวจนับสต็อกตอนกลางคืนหลังจากปิดร้านก็ได้

5.  สาเหตุการสูญเสียสินค้าคงคลังและการป้องกันการสูญเสีย    พิจารณาจากสิ่งต่อไปนี้
5.1 การขโมยโดยลูกค้า   การใช้พนักงานจับขโมยทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบ  ใช้  กระจกและโทรทัศน์วงจรปิด  ติดป้ายแสดงการปรับเป็นจำนวนเงินให้เห็นชัดเจน
5.2 การขโมยโดยพนักงาน    ด้วยการลดความอยาก คือการให้ผลประโยชน์พอเพียงแก่ความ ต้องการของพนักงาน และลดโอกาสในการขโมยโดยการตรวจตราและการคัดเลือกผู้มาสมัครงานอย่างละเอียด
5.3 ความผิดพลาดของพนักงาน  คิดราคาผิด การทอนเงินไม่ถูกต้อง การบันทึกที่ไม่ถูกต้อง  การขายหรือการตรวจนับสินค้า   ความผิดพลาดดังกล่าวจะลดลงได้ด้วยการฝึกอบรม เตือนให้พนักงานระมัดระวังอยู่เสมอ
5.4 การเสื่อมของสินค้า   เกิดจากการแตก ชำรุด ล้าสมัย

6.    การจัดการสินค้าคงคลังในธุรกิจค้าส่ง   ดำเนินการดังนี้
6.การวางแผนควบคุมระดับสินค้าคงคลัง
6.2 การวางระบบการรับ-จ่ายที่รัดกุม
6.3 การวางรูปแบบการเก็บสินค้าที่เหมาะสม
6.4 การวางระบบบัญชีสินค้าเพื่อควบคุมสินค้าคงคลัง


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
1.          ข้อใดหมายถึง ให้พิจารณาจากจำนวนประชากรในเขต การค้า  รายได้ของประชากร พฤติกรรมการซื้อของประชากร ความเจริญของเขตการค้าหรือ ตัวเมือง ลักษณะและความเข้มข้นของการแข่งขัน สิ่งอำนวยความสะดวกในเขตการค้า
ก.     ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง
ข.     เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก
ค.     ปัจจัยทั่ว ๆ สำหรับทำเลที่ตั้ง
ง.     ปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง

2.          ข้อใดหมายถึง ให้พิจารณาจาก แนวคิดของธุรกิจ  ความสัมพันธ์ ระหว่างชนิดของสินค้าและพฤติกรรมในการซื้อ  ความสัมพันธ์กับร้านค้าอื่นและคู่แข่งขัน การสัญจรไปมาของลูกค้า  การพิจารณาค่าใช้จ่ายในการซื้อหรือเช่า  การประเมินการขาย เมื่อเปรียบเทียบกับการเช่า
ก.     ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง
ข.     เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก
ค.     ปัจจัยทั่ว ๆ สำหรับทำเลที่ตั้ง
ง.     ปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง

3.          ข้อใดหมายถึง นำสิ่งต่อไปนี้มาประกอบ การตัดสินใจ เช่น แหล่งวัตถุดิบ  แหล่งแรงงาน แหล่งผู้บริโภคหรือตลาด คู่แข่ง ราคาที่ดิน ภาษี เส้นทางคมนาคม แหล่งสาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม  (สภาพชุมชน สภาพ  ภูมิอากาศ )
ก.     ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง
ข.     เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก
ค.     ปัจจัยทั่ว ๆ สำหรับทำเลที่ตั้ง
ง.     ปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง

4.          ข้อใดหมายถึง นำสิ่งต่อไปนี้มาประกอ   การ    ตัดสินใจ เช่น ทางเข้า-ทางออก  ที่จอดรถ  การสิเคราะห์เส้นทางจราจร  จำนวน  พาหนะในเส้นทางจราจร  แนวโน้มของประชากรและกิจกรรมของธุรกิจ  ค่าใช้จ่า    ในการซื้อหรือเช่าและค่าโฆษณา  สถานที่หรือธุรกิจสำคัญที่อยู่ใกล้  ประวัติความเป็น  มาของตำแหน่งที่ตั้ง
ก.     ปัจจัยสำคัญในการเลือกเขตการค้าหรือตัวเมือง
ข.     เกณฑ์การพิจารณาเลือกที่ตั้งร้านค้าปลีก
ค.     ปัจจัยทั่ว ๆ สำหรับทำเลที่ตั้ง
ง.     ปัจจัยเฉพาะเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้ง

5.          ทำเลที่ตั้ง พิจารณากี่สิ่ง
ก.     1
ข.     2
ค.     3
ง.     4

6.          ปัจจัยที่เกี่ยวกับการเลือกทำเลที่ตั้ง มีกี่ปัจจัย
ก.     1
ข.     2
ค.     3
ง.     4

7.          ข้อใดหมายถึง ทำเป็นบัตรสินค้า  สินค้าแต่ละรายการจะมีบัตรหนึ่งใบสำหรับการบันทึกปริมาณ
ก.     การบันทึกโดยพนักงาน
ข.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบธรรมดา
ค.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
ง.     การใช้พนักงานนับ

8.          ข้อใดหมายถึง สามารถบันทึกว่าสินค้าที่ขายนั้นมาจาก แผนกใดหรือเป็นสินค้าชนิดใด
ก.     การบันทึกโดยพนักงาน
ข.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบธรรมดา
ค.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
ง.     การใช้พนักงานนับ

9.          ข้อใดหมายถึง เหมาะสำหรับร้านค้าปลี  ขนาดใหญ่ เรียกกันทั่วไปว่าเครื่องบันทึก ณ จุดขาย   เป็นการบันทึกข้อมูลการขายลงบนเทป เพื่อนำไปป้อนเครื่องคอมพิวเตอร์ในภายหลัง
ก.     การบันทึกโดยพนักงาน
ข.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบธรรมดา
ค.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
ง.     การใช้พนักงานนับ

10.     ข้อใดหมายถึง ร้านค้าปลีกจะใช้พนักงานนับสินค้าทุกอย่างแต่ละชิ้นเป็นครั้งคราว  เพื่อหาว่าปริมาณสินค้าคงคลังที่แท้จริงมีอยู่เท่าไร ซึ่งอาจแตกต่างจากปริมาณสินค้าคงคลังทีปรากฏในบัญชี  ร้านค้าปลีกจำต้องปิดร้านระหว่างตรวจนับปริมาณสินค้าคงคลังหรืออาจ ตรวจนับสต็อกตอนกลางคืนหลังจากปิดร้านก็ได้
ก.     การบันทึกโดยพนักงาน
ข.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบธรรมดา
ค.     การใช้เครื่องเก็บเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์
ง.     การใช้พนักงานนับ

เฉลย 1.ก  2.ข  3.ค  4.ง  5.ค  6.ค  7.ก  8.ข  9.ค  10.ง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาเสริม Blogger