บทที่ 4 การจดทะเบียนการค้า

บทที่ 4
การจดทะเบียนการค้า

1) องค์ประกอบของธุรกิจร้านค้าปลีกที่ต้องจดทะเบียนการค้า มี ประการ ดังนี้
1. ต้องเป็นบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ที่เข้าลักษณะตามที่กำหนดไว้ของบัญชี อัตราภาษีการค้าได้แก่ ผู้นำเข้า ผู้ผลิต ผู้ส่งออก ผู้ขายทอดตลาด ผู้ขายทุกทอด ผู้ขาย ผู้ประกอบการ ผู้รับจ้างผู้ให้ค่าเช่า นายหน้า ตัวแทน ผู้ทอดตลาดหรือผู้ให้บริการ ผู้ขาย และผู้รับประกัน
2. ร้านค้าปลีก ต้องประกอบการค้าในประเทศ
3. การค้าที่ต้องเสียภาษี มี 13 ประเภท ได้แก่
1) การขายสินค้าที่ผลิตหรือนำเข้าในประเทศ การส่งสินค้าไปขายต่างประเทศ การค้าทองเงิน นาค เพชร พลอยต่าง ๆ ตลอดจนการขายของเก่าที่เป็นวัตถุโบราณหรือศิลปวัตถุในฐานะผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ขายทอดแรก หรือผู้ขายทุกทอด
2) การประกอบกิจการโรงเลื่อย ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อยไม้ขาย หรือรับจ้างเลื่อย และไม่ว่าจะเป็นโรงเลื่อยที่ใช้เครื่องจักรหรือใช้แรงคน
3) การรับจ้างพิมพ์ เย็บสมุด เอกสารทำปก หนังสือ รับถ่าย ล้าง อัด หรือขยายรูป ทำบล็อกรับถ่ายภาพยนตร์ หรือสร้างภาพยนตร์ ทำการปลูกสร้างหรือก่อสร้างทุกชนิด รับโฆษณาสินค้า รับดัด ตัด แต่งผม หรือตกแต่งร่างกาย รับตัดเสื้อผ้า รองเท้า รับจ้างซ่อมยานพาหนะเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องยนต์ ของใช้ใด ๆ รับจ้างนำเที่ยว ตลอดจนการจ้างอย่างอื่นที่ไม่ใช่การจ้างแรงงาน
4) การตั้งสถานบริการ อาบ อบ นวด
5) การให้เช่าทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เป็นสังหาริมทรัพย์ เช่น การให้เช่ารถ เช่าหนังสืเช่าเครื่องเรือน ฯลฯ
6) การทำคลังสินค้า การรับฝากทรัพย์ เช่น การรับฝากรถ การให้บริการเกี่ยวกับการเก็บสิ่งของต่าง ๆ ในห้องเย็น เช่น รับฝากผัก ผลไม้ เนื้อ กุ้ง ปู ปลา ในห้องเย็น
7) การทำโรงแรม การตั้งร้านขายอาหาร โดยจัดสถานที่ไว้ให้ประชาชนเข้าไปบริโภคได้การทำไนต์คลับ หรือคาบาเร่ต์
8) การรับขนของหรือขนคนโดยสารระหว่างประเทศ
9) การตั้งโรงรับจำนำ
10) การเป็นนายหน้า ตัวแทน หรือทำการขายทอดตลาด หรือรับจัดธุรกิจให้ผู้อื่น
11) การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้า หรือหากำไร เช่น ซื้อที่ดินมาแบ่งขายปลูกบ้าน หรือสิ่งก่อสร้างอย่างอื่นแล้วขาย หรือขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
12) การประกอบกิจการธนาคารหรือเยี่ยงธนาคาร เช่น ให้กู้ยืมเงิน ค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ฯลฯ
13) การรับประกันชีวิตหรือประกันภัยอย่างอื่น

การดำเนินการจดทะเบียน
เมื่อร้านขายปลีกประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีการค้า ต้องทำการจดทะ  เบียนการค้าภายใน 30 วัน  นับแต่วันเริ่มประกอบการค้าโดยยื่นแบบ ภ.ค. 1 จำนวน 4 ฉบับมีข้อความ ตรงกันต่ออธิบดีกรมสรรพากร ในเขตกรุงเทพมหานคร ทางปฏิบัติอื่น ๆ ผ่านกองภาษีการค้าหรื อ สรรพากรจังหวัดในเขตจังหวัดนั้น ๆ  ถ้าร้านขายปลีกมีสถานการณ์หลายแห่ง ให้แยกยื่นคำขอเป็นราย สถานการค้า

2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม  ( Value  Added  Tax )
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นภาษีเก็บจากการบริโภคของประชาชน ที่ภาระภาษีต้องตกไปยังผู้บริโภค โดยจัดเก็บผ่านผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่เป็นผู้ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร โดยไม่คำนึงถึงสถานะของบุคคลผู้ดำเนินงาน   และเป็นภาษีทางอ้อม ที่ได้นำมาใช้แทนภาษีการค้าเดิม เพื่อความเหมาะสมและให้สอดคล้องกับภาวะความเจริญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย เพื่อเป็นการส่งเสริมการส่งออกและความเจริญเติบโตในทางเศรษฐกิจ
ในกรณีที่ผู้ประกอบการนั้นมีภาษีที่ได้จ่ายไปในการซื้อวัตถุดิบ สินค้าทุน และการรับบริการเพื่อในกิจการของตน ย่อมมีสิทธินำภาษีในการซื้อ หรือการรับบริการนั้นมาหักออกภาษีที่จะต้องนำส่งกรมสรรพากร โดยมีหลักฐานในการซื้อเรียกว่า ใบกำกับภาษี”   ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องมีรายรับเกินกว่า  1,200,000  บาท ต่อปีขึ้นไป (หากไม่เกิน ก็ขอจดทะเบียนได้)

ประเภทของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแบ่งได้เป็น  ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1.  ผู้ประกอบการ
2.  ผู้นำเข้า และ
3.  ผู้ที่กฎหมายกำหนดให้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ

ผู้ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม    ได้แก่
1.  การขายสินค้า หรือการให้บริการของผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 600,000 บาท/ปี
2.  การขายสินค้าพืชผล ทางการเกษตร
3.  การขายสัตว์ทั้งมีชีวิต หรือไม่มีชีวิต
4.  การขายสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการเกษตร เช่น ปุ๋ย ปลาป่น อาหารสัตว์ ยาปราบศัตรูพืช หรือเคมีภัณฑ์ทุกชนิด ที่ใช้สำหรับการทำลาย บำรุง หรือกำจัดศัตรูพืช หรือสัตว์
5.  ขายหนังสือพิมพ์  นิตยสาร ตำราเรียน
6.  นำเข้าสินค้าตามข้อ 2, 3, 4 และ 5
7.  การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร เฉพาะทางบกและทางน้ำ
8.  การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศเฉพาะทางบก
9.  การให้บริการทางการศึกษาของโรงเรียน และสถานศึกษาต่าง ๆ ของทางราชการและเอกชน
10.  การให้บริการรักษาของพยาบาล และสถานพยาบาลของทางราชการและเอกชน
11.  การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรม
12.  การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และสวนสัตว์
13.  การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
14.  การให้บริการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ และการให้บริการวิชาชีพอิสระอื่น ๆตามอธิบดีกำหนด โดยได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี ทั้งนี้ เฉพาะวิชาชีพอิสระที่กฎหมายควบคุมการประกอบวิชาชีพอิสระนั้น
15.  การให้บริการวิจัย และการบริการวิชาการ
16.  การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
17.  การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
18.  การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
19.  การขายสินค้า หรือให้บริการเพื่อประโยชน์แก่ศาสนา หรือสาธารณกุศลในประเทศไทย
20.  การให้บริการขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
21.  การขายสินค้า หรือให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม หรือส่งรายรับทั้งสิ้นให้แก่รัฐ โดยไม่หักรายจ่ายใด ๆ
22.  การขนส่งระหว่างประเทศ โดยผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศซึ่งตามกฎหมาย                  ของประเทศนั้น ยกเว้นภาษีทางอ้อม ให้แก่ผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้  ตามกฎหมายไทย ตามหลักถ้อยที                    ถ้อยปฏิบัติ
23.  การรับจ้างสีข้าว
24.  การขายสลากกินแบ่งของ รัฐบาล
25.  การขายยาสูบของผู้ประกอบการที่มิใช่โรงงานยาสูบ
26.  นำสินค้าที่ได้รับยกเว้นภาษีอากรขาเข้าบางประเภท เช่น ของส่วนตัวที่เจ้าของนำมาใช้เอง

สินค้าที่ต้องเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิต
ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือย และสินค้าผูกขาด จะเสียภาษีในอัตราสูงเพื่อควบคุมมิให้มีการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยมากเกินไปสินค้าที่จะต้องเสียภาษี 2 ประเภทดังกล่าว ได้แก่
1.  น้ำมัน และผลิตภัณฑ์น้ำมัน
2.  เครื่องดื่ม
3.  สุรา  เบียร์
4.  ยาสูบ  ยาเส้น
5.  ไพ่
6.  เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดทำความเย็นไม่เกิน 72,000  บี.ที.ยู. ต่อชั่วโมง
7.  เครื่องแก้วเจียระไน
8.  รถยนต์นั่ง หรือรถยนต์โดยสาร
9.  เรือยอชต์
10. น้ำหอม
11. สนามม้าแข่ง

การยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องยื่นแบบแสดงรายการ พร้อมทั้งชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีการขายสินค้าหรือการให้บริการเกิดขึ้นในเดือนภาษีนั้นหรือไม่ก็ตาม

เอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม     ประกอบด้วย
1.  คำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ. 01 จำนวน 5 ฉบับ
2.  สำเนาทะเบียนบ้านหรือหลักฐานแสดงการอยู่อาศัยจริง พร้อมภาพถ่ายสำเนาดังกล่าว
3.  บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว
4.  สัญญาเช่าอาคารอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการ (กรณีเช่า) หรือหนังสือยินยอมให้ใช้สถานประกอบการ และหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ เช่น เป็นเจ้าบ้าน สัญญาซื้อขาย คำขอหมายเลขบ้าน ใบโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาเช่าช่วง พร้อมสำเนาทะเบียนบ้านอันเป็นที่ตั้งสถานประกอบการและภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว
5.  หนังสือจัดตั้งห้างหุ้นส่วน พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล)
6.  หนังสือรับรองของนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท พร้อมวัตถุประสงค์ หนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับ และใบทะเบียนพาณิชย์พร้อมภาพถ่ายหนังสือดังกล่าว (กรณีเป็นนิติบุคคล)
7.  บัตรประจำตัวประชาชนของกรรมการผู้จัดการหรือหุ้นส่วนผู้จัดการและสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมภาพถ่ายเอกสารดังกล่าว
8.  แผนที่ซึ่งแสดงที่ตั้งของสถานประกอบการโดยสังเขปและภาพถ่ายสถานประกอบการจำนวน 2 ชุด
9.  กรณีมอบอำนาจให้ผู้อื่นทำการแทน ต้องมีหนังสือมอบอำนาจปิดอากรแสตมป์ 10 บาท  บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจพร้อมภาพถ่ายบัตรดังกล่าว โดยผู้รับมอบอำนาจต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป    การดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม  ให้จดในวันเริ่มประกอบกิจการขายสินค้าหรือให้บริการภายใน30 วัน นับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี(รายรับ) เกินกว่า 1,200,000 บาทต่อปี

การทำความผิดตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ประกอบการที่อยู่ในบังคับต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ได้ประกอบโดยมิได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ต้องรับผิดดังนี้
1.  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.  เสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากยอดขายสินค้าหรือบริการตั้งแต่วันที่มีหน้าที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
3.  เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า ของเงินภาษีต้องเสียในแต่ละเดือนภาษี
4.  เสียเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 1.ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีต้องชำระ
5.  ไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ถูกผู้ประกอบการจดทะเบียนอื่นเรียกเก็บในขณะที่ยังไม่ได้จดทะเบียน  ภาษีมูลค่าเพิ่มไปหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย (ภาษีขาย)

3) ภาษีป้าย
ร้านค้าปลีกที่แสดงชื่อ ยี่ห้อ หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบการค้าหรือโฆษณา ไม่ว่าจะ แสดงไว้ที่วัตถุใด ๆ ด้วยอักษร ภาพ หรือเครื่องหมายที่เขียน แกะ สลัก จารึก หรือทำให้ปรากฏด้วยวิธีอื่น ๆ ป้ายเหล่านี้ร้านค้าขายปลีกจะต้องยื่นแสดงรายการภาษีป้าย ภายในเดือนมีนาค  ของทุกปี ไม่ว่าป้ายที่ติดนั้นจะติดไว้ในหรือนอกร้าน

ป้ายที่ต้องเสียภาษี
ตามพระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. 2510  กำหนดให้ป้ายต้องเสียภาษีดังนี้
1.  ป้ายตามกฎหมายทะเบียนพาณิชย์  คือ ป้ายชื่อของร้าน  ซึ่งเมื่อได้จดทะเบียนพาณิชย์หรือทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท(นิติบุคคล)  ผู้ประกอบการค้าต้องจัดให้มีป้ายชื่อไว้ที่สำนักงานใหญ่และที่สำนักงานโดยเปิดเผยภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียน  กฎหมายบัญญัติให้ป้ายที่จัดทำต้องเป็นภาษาไทยอ่านง่าย และชัดเจน และจะมีอักษรต่างประเทศด้วยก็ได้ ป้ายนี้จะทำไว้บนแผ่นไม้ แผ่นโลหะ แผ่นกระจก กำแพง หรือผนังก็ได้  (ป้ายชื่อของร้านที่จดทะเบียนไว้ ณ หอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท)  แม้จะแสดงไว้ภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานก็ต้องเสียภาษี
2.  ป้ายที่ไม่ใช่ชื่อตามกฎหมายทะเบียนพาณิชย์ คือ ป้ายธรรมดาทั่วไป ซึ่งอาจเป็นป้ายที่บอกประเภทของร้านค้า โฆษณาสินค้า  ไม่ว่าจะเป็นภาพ อักษร หรือเครื่องหมายที่เขียนโดยรวมถึงป้ายดังไปนี้
ก.  ป้ายที่มีอักษรไทยล้วน
ข.  ป้ายที่มีอักษรไทยปนกับอักษรต่างประเทศหรือเครื่องหมาย
ค.  ป้ายที่ไม่มีอักษรไทย
ง.   ป้ายใหม่ที่แสดงแทนป้ายเดิม หรือป้ายเดิมที่เปลี่ยนแปลงแก้ไข

ป้ายที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีป้าย
1.  ป้ายที่แสดงไว้ ณ โรงมหรสพและบริเวณมหรสพนั้นเพื่อโฆษณามหรสพ
2.  ป้ายที่แสดงไว้ที่สินค้า หรือที่สิ่งหุ้มห่อ หรือบรรจุสินค้า
3.  ป้ายที่แสดงในบริเวณงานที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราว
4.  ป้ายที่แสดงไว้ที่ยานพาหนะ หรือสัตว์ ซึ่งเคลื่อนที่ด้วยกำลังยานพาหนะ คน หรือสัตว์
5.  ป้ายที่แสดงไว้ในสถานที่ประกอบการค้าหรือประกอบกิจการอื่น เพื่อหารายได้หรือภายในอาคารซึ่งเป็นที่รโหฐานแต่ไม่รวมถึงป้ายชื่อของร้าน
6.  ป้ายของทางราชการ
7.  ป้ายขององค์การที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การของรํฐบาลหรือกฎหมายว่าด้วยการนั้น ๆ
8.  ป้ายของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ และบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
9.  ป้ายของโรงเรียนราษฎร์ที่แสดงไว้ ณ โรงเรียนราษฎร์ หรือบริเวณโรงเรียนราษฎร์นั้น
10. ป้ายของผู้ประกอบการเกษตร ซึ่งค้าผลิตผลอันเกิดจากการเกษตรของตน
11. ป้ายของวัด หรือผู้ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการกุศลสาธารณะ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในการ                  อื่น
12. ป้ายของสมาคม หรือมูลนิธิ
13. ป้ายที่มีลักษณะเป็นใบปลิวโฆษณา
14. กิจการค้าหาบเร่
15. กิจการจำหน่ายแสตมป์อากร แสตมป์ไปรษณียากร สลากกินแบ่งรัฐบาลหรือแสตมป์ซึ่งรัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อการกุศล บำรุงการศึกษา บำรุงสาธารณสุข
16. กิจการของสโมสร ซึ่งไม่ต้องเสียภาษีการค้า
17. กิจการของสหกรณ์

การยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีป้าย
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี หรือเจ้าของป้ายเสียภาษี เป็นผู้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ณ ท้องที่ที่ป้ายนั้นตั้งอยู่ ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี แต่ถ้าเจ้าของป้ายไม่สามารถยื่นแบบแสดงรายการภาษีด้วยตนเองได้ ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้อื่นยื่นแบบแทนได้  เจ้าของป้ายจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีในกรณีดังต่อไปนี้
1.    ผู้ใดมีป้ายอันต้องเสียภาษี ภายหลังเดือนมีนาคมให้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีป้ายภายใน 15 วันนับ แต่วันที่มีป้าย
2.       ผู้ใดแสดงป้ายใหม่แทนป้ายเดิมที่ได้เสียภาษีแล้ว ให้ยื่นแบบแสดงรายการภายใน 15 วัน นับแต่วันแสดงป้ายใหม่แทนป้ายเดิม
3.       การเปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิม อันเป็นเหตุให้ต้องเสียภาษีป้าย หรือเสียภาษีป้ายเพิ่มขึ้น ให้ยื่นแบบแสดงรายการภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขป้ายเดิม การยื่นแบบแสดงรายการภาษีป้ายให้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนี้
1)      สำหรับในเขตเทศบาล ให้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานเทศบาลที่ป้ายนั้นแสดงอยุ่   หรือ ณ สถานที่อื่นที่นายกเทศมนตรีกำหนด
2)      ในเขตสุขาภิบาล ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานสุชาภิบาลที่ป้ายแสดงอยู่ หรือตามที่ ประธานกรรมการสุขาภิบาลกำหนด
3)      นอกเขตเทศบาลหรือนอกเขตสุขาภิบาล ให้ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ที่ว่าการอำเภอที่ป้ายแสดงอยู่ หรือยื่น ณ สถานที่อื่นที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด

4) การทำบัญชีค้าปลีกค้าส่ง
หลักเกณฑ์การพิจารณาผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี   แบ่งเป็น 2  ประเภท คือ
ประเภทที่ แรก   ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล
ประการที่ สอง   ธุรกิจที่ประกอบเป็นธุรกิจประเภทใด

1.  กรณีเป็นบุคคลธรรมดา ประกอบธุรกิจขายสินค้าโดยมิได้เป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้า หรือผู้ส่งออก และประกอบธุรกิจประเภทที่ 2 ถึงประเภทที่ 15 ให้จัดทำบัญชีเงินสดเล่มเดียวแต่ถ้าเป็นบุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจขายสินค้า โดยเป็นผู้ผลิต ผู้นำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าใดก็ตาม ต้องจัดทำบัญชีเงินสด และบัญชีสินค้าครอบครอง

2.  ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด และนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่งประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือซื้อขายที่ดิน ต้องจัดทำบัญชีประเภทและชนิด ดังต่อไปนี้
1) บัญชีเงินสด
2) บัญชีรายวันซื้อ
3) บัญชีรายวันขาย
4) บัญชีแยกประเภททรัพย์สิน
5) บัญชีแยกประเภทรายได้รายจ่าย
6) บัญชีรายวันและบัญชีแยกประเภทอื่น ตามความจำเป็นแก่การบันทึกรายการของธุรกิจ นั้นให้ครบถ้วนและถูกต้องตามหลักการบัญชีคู่
7) บัญชีสินค้าซึ่งอยู่ในครอบครอง

3.  ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด และนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่าง ประเทศ ซึ่งประกอบธุรกิจที่ต้องจัดทำบัญชีตามกฎหมายดังต่อไปนี้
1) บัญชีเงินสด
2) บัญชีแยกประเภททรัพย์สิน
3) บัญชีแยกประเภทรายได้รายจ่าย
4) บัญชีรายวันและบัญชีแยกประเภทอื่นตามความจำเป็นแก่การบันทึกรายการของธุรกิจนั้นให้ครบถ้วน และถูกต้องตามหลักการบัญชีคู่

ระยะเวลาที่ต้องลงรายการบัญชี
การลงรายการในบัญชีนั้น จะต้องแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดดังต่อไปนี้
1.  บัญชีเงินสด บัญชีรายวันซื้อ บัญชีรายวันขาย บัญชีรายวันทั่วไป และบัญชีรายวันอื่นทุกชนิดต้องลงรายการในบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน นับแต่วันที่รายการที่จะต้องลงในบัญชีนั้นเกิดขึ้น
2. บัญชีแยกประเภททรัพย์สิน บัญชีแยกประเภทรายได้รายจ่าย บัญชีแยกประเภทลูกหนี้บัญชีแยกประเภทเจ้าหนี้ และบัญชีแยกประเภทอื่น ต้องลงรายการในบัญชีให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนที่ได้ลงรายการนั้นไว้ในบัญชีเงินสด บัญชีรายวันซื้อ บัญชีรายวันขาย บัญชีรายวันทั่วไป เช่น ลงรายการรับหรือรายจ่ายในบัญชีเงินสดในเดือนมกราคมต้องผ่านบัญชีหรือนำรายการที่ลงไว้ในบัญชีเงินสดไปลงในบัญชีแยกประเภทที่เกี่ยวข้องภายในวันที่ 15 ของเดือนกุมภาพันธ์
3.  บัญชีสินค้าซึ่งอยู่ในครอบครอง ต้องลงรายการให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนที่รายการจะต้องลงในบัญชีสินค้าซึ่งอยู่ในครอบครองเกิดขึ้น เช่น ซื้อหรือขายสินค้าในเดือนมกราคมเป็นจำนวนเท่าใด ต้องลงรายการนั้นในบัญชีสินค้าครอบครองภายในวันที่ 15 ของเดือนกุมภาพันธ์
4. บัญชีเงินสด บัญชีแยกประเภททรัพย์สินและบัญชีแยกประเภทอื่นรวมทั้งบัญชีสินค้าซึ่งอยู่ในครอบครอง ต้องลงรายการยอดคงเหลือในบัญชีเหล่านั้น ณ วันปิดบัญชีแต่ละงวดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันปิดบัญชี

หลักการลงบัญชี
ให้ถือปฏิบัติดังนี้
1.  บัญชีประเภททรัพย์สิน  ที่กิจการเป็นเจ้าของแยกออกตามประเภทของทรัพย์สิน ได้แก่ บัญชีเงินสด บัญชีเครื่องประดับร้าน บัญชีวัสดุ บัญชีอุปกรณ์สำนักงาน บัญชีรถบรรทุก และ บัญชีลูกหนี้ เป็นต้น รายการที่ทำให้ทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ให้ลงไว้ทางด้านเดบิต(Dr.) และรายการ  ที่ทำให้ทรัพย์สินลด ให้ลงไว้ทางด้านเครดิต(Cr.) ของบัญชีทรัพย์สินนั้น ๆ
2.  บัญชีประเภทหนี้สิน แยกออกตามประเภทของหนี้สิน เช่น บัญชีเงินกู้ บัญชีตั๋วแลกเงินจ่าย บัญชีเจ้าหนี้ บัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น  รายการที่ก่อให้เกิดหนี้สินเพิ่มขึ้นใหม่ ให้ลงไว้ ทางด้านเครดิต(Cr.)  ส่วนราชการที่ทำให้หนี้สินลดลงให้ลงไว้ทางด้านเดบิต(Dr.)
3.  บัญชีประเภททุน รายการที่ทำให้ทุนเพิ่มให้ลงไว้ทางด้านเครดิต(Cr.) ส่วนรายการที่ทำให้ทุน ลด ให้ลงไว้ทางด้านเดบิต(Dr.)
4.  บัญชีรายได้ต่าง ๆ ไม่ใช่บัญชีเงินสด รายการรายได้ต่าง ๆ เช่น ดอกเบี้ยรับขายสินค้าสินค้า  เงินปันผลรับ ฯลฯ  ที่กิจการได้รับ จะลงบัญชีไว้ทางด้านเครดิต(Cr.)  ส่วนรายการที่ทำให้ราย ได้ลดจะลงไว้ทางด้านเดบิต(Dr.)
5.  บัญชีรายจ่ายต่าง ๆ  รายการรายจ่ายต่าง ๆ เช่น ค่าแรงงาน ค่าเงินเดือน  ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ จะลงบัญชีรายจ่ายเพิ่มให้ลงทางด้านเดบิต(Dr.)  รายจ่ายลด ให้ลงทางด้านเครดิต(Cr.)
6.  บัญชีเงินสด ให้ลงรายการรับทางด้านเดบิต(Dr.) และให้ลงรายการจ่ายทางด้านเครดิต(Cr.)  หรือพูดง่าย ๆ ว่ารับซ้ายจ่ายขวา

การจัดการการเงินสำหรับธุรกิจค้าปลีก
ผู้คิดจะดำเนินกิจการธุรกิจค้าปลีกควรจะต้องทราบว่าการดำเนินธุรกิจค้าปลีกนั้นจะต้องใช้เงินลงทุนเท่าใด ใช้ไปเพื่ออะไรบ้าง จะจัดหามาได้จากแหล่งใด ทั้งนี้ประเภทของเงินทุนที่กิจการต้องการ เมื่อเริ่มต้นธุรกิจจะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ
การเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีกจะต้องเริ่มต้นในการวางแผนทางการเงิน 4  ขั้นตอนดังนี้
1.  เงินลงทุนในการจัดตั้งธุรกิจ  ได้แก่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทันทีและค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในอนาคต(ภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี) เช่น อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ การตกแต่งสถานที่ ค่าสินค้าเริ่มต้นค่าโฆษณา  ค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ เป็นต้น
2.  ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ  เช่น ค่าแรงงานพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าร้านค้า   ค่าขนส่งค่าเช่าร้านค้า  ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  เป็นต้น
3.  แผนการขายและอัตรากำไร   ปีแรกการประเมินในลักษณะนี้ก็เพื่อที่จะได้วิเคราะห์และวางแผนการลงทุนในระยะยาว
4.  เงินสดหมุนเวียน    ผู้บริหารการเงินระดับสูงเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจ  จะไม่ชะงัก เพียงเพราะไม่มีเงินสดหมุนเวียน  ผู้ค้าปลีกจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะมีผล กระทบให้การประเมินผิดพลาดจากความเป็นจริง

การเงินและบัญชีในธุรกิจค้าส่ง
ลักษณะนโยบายการเงินของธุรกิจการค้าส่ง ประกอบด้วย
1.  การเลือกใช้แหล่งเงินทุน  แบ่งเป็น 2 แหล่งใหญ่ ๆ คือ
1.1  ส่วนของเจ้าของ ได้มาจาก กำไรสะสม และเงินทุนจากการขายหุ้น
1.2  เจ้าหนี้ เป็นแหล่งเงินทุนภายนอก  แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1) เงินกู้ระยะสั้น   ระยะเวลาในการชำระคืนไม่เกิน 1 ปี เช่น จากการซื้อสินค้าเงินเชื่อ เงินกู้ธนาคาร การขายบัญชีลูกหนี้ การออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  การขายลดเช็คของลูกค้า ที่ชำระค่าสินค้า
2) เงินกู้ระยะปานกลาง  ระยะเวลาในการชำระคืนมากกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี เช่น เงินกู้ธนาคาร เงินกู้จากบริษัทประกันภัย เงินกู้จากบริษัทเงินทุน
3) เงินกู้ระยะยาว  ระยะเวลาในการชำระคืนเกิน 5 ปี เช่น การออกหุ้นกู้ การจำนองทรัพย์สินการกู้ยืมจากธนาคารและบริษัทเงินทุน
2.  กำหนดการแบ่งสรรเงินทุน  ควรมีการแบ่งสรรเงินทุนเพื่อลงทุนในทรัพย์สินถาวรไว้บ้างเช่น ที่ดิน  อาคาร เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน  การจัดสรรเงินทุนในสินค้าจะต้องเป็นการลงทุนหลักของกิจการ
3.  การปกป้องคุ้มครองเงินทุน  การดำเนินธุรกิจมักจะมีภาวะของความเสี่ยงรวมอยู่ด้วย อาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินทุนไป จึงจำเป็นจะต้องหาวิธีการลดความเสี่ยงของกิจการลง โดยการทำประกันภัย


แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
1.          ข้อใดหมายถึง ที่กิจการเป็นเจ้าของแยกออกตามประเภทของทรัพย์สิน ได้แก่ บัญชีเงินสด บัญชีเครื่องประดับร้าน บัญชีวัสดุ บัญชีอุปกรณ์สำนักงาน บัญชีรถบรรทุก และ บัญชีลูกหนี้ เป็นต้น
ก.     บัญชีประเภททรัพย์สิน
ข.     บัญชีประเภทหนี้สิน
ค.     บัญชีประเภททุน
ง.     บัญชีเงินสด

2.          ข้อใดหมายถึง แยกออกตามประเภทของหนี้สิน เช่น บัญชีเงินกู้ บัญชีตั๋วแลกเงินจ่าย บัญชีเจ้าหนี้ บัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่าย เป็นต้น
ก.     บัญชีประเภททรัพย์สิน
ข.     บัญชีประเภทหนี้สิน
ค.     บัญชีประเภททุน
ง.     บัญชีเงินสด

3.          ข้อใดหมายถึง รายการที่ทำให้ทุนเพิ่มให้ลงไว้ทางด้านเครดิต(Cr.) ส่วนรายการที่ทำให้ทุน ลด ให้ลงไว้ทางด้านเดบิต(Dr.)
ก.     บัญชีประเภททรัพย์สิน
ข.     บัญชีประเภทหนี้สิน
ค.     บัญชีประเภททุน
ง.     บัญชีเงินสด

4.          ข้อใดหมายถึง ให้ลงรายการรับทางด้านเดบิต(Dr.) และให้ลงรายการจ่ายทางด้านเครดิต(Cr.)  หรือพูดง่าย ๆ ว่ารับซ้ายจ่ายขวา
ก.     บัญชีประเภททรัพย์สิน
ข.     บัญชีประเภทหนี้สิน
ค.     บัญชีประเภททุน
ง.     บัญชีเงินสด

5.          ข้อใดหมายถึง หลักการลงบัญชี มีกี่ข้อ
ก.     4
ข.     5
ค.     6
ง.     7

6.          การเริ่มต้นธุรกิจค้าปลีกจะต้องเริ่มต้นในการวางแผนทางการเงิน มีกี่ขั้นตอน
ก.     1
ข.     2
ค.     3
ง.     4

7.          ข้อใดหมายถึง ได้แก่ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายทันทีและค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายในอนาคต(ภายใน 6 เดือน ถึง 1 ปี) เช่น อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ การตกแต่งสถานที่ ค่าสินค้าเริ่มต้นค่าโฆษณา  ค่าใช้จ่ายในการขอใบอนุญาตต่าง ๆ เป็นต้น
ก.     เงินลงทุนในการจัดตั้งธุรกิจ
ข.     ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 
ค.     แผนการขายและอัตรากำไร
ง.     เงินสดหมุนเวียน

8.          ข้อใดหมายถึง เช่น ค่าแรงงานพนักงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าร้านค้า   ค่าขนส่งค่าเช่าร้านค้า  ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ  เป็นต้น
ก.     เงินลงทุนในการจัดตั้งธุรกิจ
ข.     ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 
ค.     แผนการขายและอัตรากำไร
ง.     เงินสดหมุนเวียน

9.          ข้อใดหมายถึง ปีแรกการประเมินในลักษณะนี้ก็เพื่อที่จะได้วิเคราะห์และวางแผนการลงทุนในระยะยาว
ก.     เงินลงทุนในการจัดตั้งธุรกิจ
ข.     ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 
ค.     แผนการขายและอัตรากำไร
ง.     เงินสดหมุนเวียน

10.     ข้อใดหมายถึง ผู้บริหารการเงินระดับสูงเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจ  จะไม่ชะงัก เพียงเพราะไม่มีเงินสดหมุนเวียน  ผู้ค้าปลีกจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่จะมีผล กระทบให้การประเมินผิดพลาดจากความเป็นจริง
ก.     เงินลงทุนในการจัดตั้งธุรกิจ
ข.     ค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 
ค.     แผนการขายและอัตรากำไร
ง.     เงินสดหมุนเวียน

เฉลย 1.ก  2.ข  3.ค  4.ง  5.ค  6.ง  7.ก  8.ข  9.ค  10.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิชาเสริม Blogger